มาตรา
๖๘๒ ท่านว่าบุคคลจะยอมเข้าเป็น[1]ผู้รับเรือน
คือเป็นประกันของผู้ค้ำประกันอีกชั้นหนึ่ง ก็เป็นได้
ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความ[2]รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน
แม้ถึงว่ามิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน
มาตรา ๖๘๓ อันค้ำประกันอย่างไม่มีจำกัดนั้นย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและ[3]ค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ
ตลอดจน[4]ค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย
มาตรา ๖๘๔ ผู้ค้ำประกันย่อมรับผิดเพื่อ[5]ค่าฤชาธรรมเนียมความซึ่งลูกหนี้จะต้องใช้ให้แก่เจ้าหนี้
แต่ถ้าโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้นั้นก่อนไซร้
ท่านว่าผู้ค้ำประกันหาต้องรับผิดเพื่อใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเช่นนั้นไม่
มาตรา ๖๘๕ ถ้าเมื่อบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้น
ผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน
และอุปกรณ์ด้วยไซร้ หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ท่านว่าลูกหนี้ยังคงรับผิดต่อเจ้าหนี้[6]ในส่วนที่เหลือนั้น
[1]
ผู้รับเรือน ก็คือผู้ค้ำประกันของผู้ค้ำประกันอีกชั้นหนึ่ง กล่าวคือเป็นเรื่องบุคคลภายนอกอีกคนหนึ่งเข้ามาผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ว่าจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เมื่อผู้ค้ำประกันไม่ชำระ
[2]
ต้องเป็นการประกันหนี้รายเดียวกัน
โดยจะเข้าค้ำประกันพร้อมกันหรือเวลาเดียวกันไม่ใช่สาระสำคัญ ผลคือ
เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันร่วมคนใดคนหนึ่งชำระหนี้โดยสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่จะเลือก
และทุกคนต้องผูกพันอยู่จนกว่าหนี้จะได้รับการชำระหนี้โดยสิ้นเชิง
ซึ่งหากมีการชำระหนี้หรือปลดหนี้ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ค้ำทุกคน
[3]
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้
ที่กฎหมายบัญญัติไว้ในบรรพ๒ ปพพ.
[4]
ค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ หมายถึง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ที่เกี่ยวพันกับหนี้ประธานที่ลูกหนี้ค้างชำระ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการทวงถามหนี้
ไม่ใช่ผลเกิดขึ้นโดยตรงจากการผิดสัญญาและมิใช่ค่าเสียหายพิเศษลูกหนี้และผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด
[5]
ค่าธรรมเนียมเฉพาะที่ลูกหนี้ต้องใช้ หากเป็นค่าธรรมเนียมที่ศาลสั่งให้ผู้ค้ำประกันใช้แก่เจ้าหนี้เมื่อผู้ค้ำประกันแพ้คดี ผู้ค้ำประกันจะอ้างว่าไม่ต้องรับผิดไม่ได้
[6]
ในส่วนเหลือ
ก็คือหนี้ที่เหลืออยู่และจะต้องเป็นหนี้ที่สามารถฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ได้
ไม่ใช่หนี้ที่ขาดอายุความ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น